แนวโน้มแฟชั่นแบบเสื้อเชิงคิดค้นปรากฏอยู่บนถนน บนเวทีเดินแบบ หรืออยู่ในสื่อ นับเป็นความสามารถอย่างสูงสุดของผู้วางแนวโน้มแฟชั่นที่กระโดดข้ามแฟชั่นปัจจุบัน ทิ้งแนวโน้มบางอย่างไป แล้วหาใหม่มาทดแทนได้ ความใหม่ ทำให้แบบชวนดึงดูดใจและสิ่งนั้นหายไป หรือหาได้ยากขึ้นในท้องตลาด แนวโน้มเป็นการสร้างแบบใหม่ให้เป็นที่รู้จักและเร่งให้เกิดความต้องการขึ้นในหมู่ผู้บริโภค ผลการศึกษาความเปลี่ยนแปลงทางแฟชั่น แสดงให้เห็นว่าแบบใหม่ๆไม่ได้เกิดจากความฝัน หากแต่เป็นแฟชั่นที่มีวิวัฒนาการตามตรรกะมาจากสิ่งที่มีมาก่อนหน้า ขั้นถัดไปในการทดลองที่ประสบความสำเร็จ และเป็นการตอบสนองการเปลี่ยนแปลงทางสังคม หรือเป็นการแสดงความแตกแยกทางวัฒนธรรม แนวโน้มมีวิวัฒนาการเป็นสามขั้นตอนดังนี้
1. แตกรวง เป็นขั้นตอนที่เมื่อมีสิ่งคิดค้นใหม่เกิดขึ้น และคนที่นำสมัยที่สุดในหมู่ผู้บริโภคและบริษัทนักบุกเบิกเริ่มเข้ามาร่วมกระบวน
2. แนวโน้ม เป็นขั้นตอนที่ความแวดวังแนวโน้มนั้นกระจายออกไป เพราะคนที่นำไปใช้รุ่นแรกเข้ามาร่วมกับผู้คิดค้น ทำให้เห็นแนวโน้มได้กว้างขวางออกไป และเกิดยี่ห้อหัวก้าวหน้า ที่ผู้ค้าปลีกนำไปทดสอบแล้วยอมรับ
3. กระแสหลัก เป็นขั้นตอนที่ผู้บริโภคหัวเก่าเข้ามาร่วม ทำให้มองเห็นแนวโน้มได้กว้างขวางขึ้น บริษัทใหญ่และผู้ผลิตยี่ห้อต่างๆ นำความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นไปทำประโยชน์
เมื่อแนวโน้มเข้ามาอยู่ในกระแสหลักแล้ว สิ่งหนึ่งสิ่งใดในจำนวนหลายๆสิ่งอาจเกิดขึ้นได้ แนวโน้มอาจจางหายไป ถ้าผู้บริโภคส่วนใหญ่มีสิทธิที่จะรับหรือปฏิเสธแนวโน้มนั้นเสียก็ได้ แต่ถ้าแนวโน้มนั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆและดึงดูดใจแต่เพียงผู้บริโภคกลุ่มเล็กๆ เราเรียกแนวโน้มนั้นว่า แฟด (สิ่งที่นิยมกันชั่วครั้งชั่วคราวอย่างรุนแรง) ถ้าผู้บริโภคเข้ามาซื้อแนวโน้มนี้ซ้ำหรือซื้อเพื่อชดเชยที่เคยซื้อไปแล้ว แบบที่จะพุ่งขึ้นไปเป็นที่ยอมรับระดับสูงสุดและดำเนินต่อไปอยู่ที่ระดับนั้น ถ้าแบบหรือแนวโน้มยังดำเนินต่อไปนานพอ แนวโน้มก็กลายเป็นคลาสสิก อันหมายถึงแบบที่มีอยู่ตลอดกาลในรูปหนึ่งรูปใด และมีความเหมาะสมที่จะใช้ในหลายโอกาส และเป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้บริโภคหลายกลุ่ม หรือแนวโน้มแตกกระจายออกเป็นแนวโน้มจิ๋ว หรือแนวโน้มไมโคร แนวโน้มจิ๋วอาจเป็นการบิดเบนประเพณีปฏิบัติแนวโน้มเดิม หรือคิดค้นใหม่ หรือเป็นการตอบโต้อย่างรุมแรง ทั้งหมดล้วนแต่ทำให้เกิดแนวโน้มขึ้นได้ โดยวิ่งย้อนกลับไปหาขั้นแรกใหม่
ในหนังสือเรื่อง อาณาจักรแฟชั่น ของไลโปเวตสกี้ แฟชั่นสมัยใหม่แบ่งออกเป็นสามยุค ยุคแรกเริ่มต้นในช่วงปี 1860 เมื่อบิดาแห่งช่างเสื้อชั้นสูง ชาร์ลส์ เฟรเดอริค เวิร์ธ ตั้งสำนักแฟชั่นขึ้นที่กรุงปารีส เริ่มต้นแสดงแบบเสื้อที่ออกแบบขึ้นล่วงหน้า แล้วเปลี่ยนสไตล์บ่อยครั้งขึ้น จากนั้นจึงว่าจ้างนางแบบมาสวมเสื้อผ้าแสดงให้ลูกค้าดู ยุคที่สองเริ่มขึ้นเมื่อช่วงปี 1960 เป็นการปฏิวัติ
เสื้อผ้าพร้อมใส่ หรือเสื้อผ้าสำเร็จรูป ในขณะที่ระบบเก่ายังอยู่ โครงสร้างการผลิตเชิงปริมาณสำหรับชนหมู่มาก และการโฆษณาเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อการผลิตเชิงปริมาณและการโฆษณารุนแรงขึ้นมวลชลก็เข้ามาอยู่ ในแฟชั่น กันได้มากขึ้น และแฟชั่นก็เป็นที่ต้องการของคนทั่วไป ส่วนยุคที่สามเริ่มขึ้นเมื่อปลายช่วงปี 1960 และมีลักษณะดังนี้
1. มีความหลากหลายจากนักออกแบบรายหนึ่งไปสู่นักออกแบบอีกรายหนึ่งอย่างรุนแรง
2. แบบที่เป็นที่ยอมรับกันมีจำนวนมากมาย
3. บรรดาผู้บริโภคมีความเป็นเอกเทศมากขึ้น
4. แนวร่วมอิสรภาพสตรีหันไปส่งเสริมเสื้อผ้าที่เน้นประโยชน์ใช้สอย ไม่มีความเข้มงวด และนิยมการสวมใส่ที่สบายยิ่งขึ้น
5. เส้นกั้นพรมแดนอย่างชัดเจนว่าแฟชั่นใดนำสมัยแฟชั่นใดล้าสมัยเลือนไป
ทุกวันนี้แทนที่จะเดินตามแฟชั่นตามที่แนวโน้มกำหนดไว้ ผู้บริโภคกรองทางเลือกออกเพื่อหาแบบที่เหมาะกับสุนทรียะของตน นิยมการผสมหลากสไตล์เข้าด้วยกัน และอิงอิทธิพลจากแหล่งต่างๆ ที่ดูเหมือนจะแย้งกันด้วยซ้ำไป จึงอาจใช้เป็นคำนิยามแฟชั่นทุกวันนี้ได้อย่างดี แฟชั่นทุกวันนี้จึงไม่ใช่แฟชั่นเดียวแต่เป็นหลากแฟชั่น แฟชั่นสมัยใหม่ยุคที่สามจึงเป็นแฟชั่นเผ่าชน เผ่าชนหนึ่งคือกลุ่มชนที่มีความคิด และวิ๔การดำเนินชีวิตที่เหมือนกัน การใช้เสื้อผ้าสไตล์เดียวกันเป็นเครื่องหมายบอกความเป็นสมาชิกอยู่ในเผ่าหนึ่ง คนกลุ่มนี้หาสไตล์ที่จะนิยามแบบฉบับตนเองจากยุคหนึ่ง หรือพัฒนาแบบที่สะท้อนความสนใจและรสนิยมของกลุ่มตนขึ้น เช่น ฮิบปี้ เมื่อช่วงปี 1970 ที่แต่งกายเพื่อแสดงว่าตนไม่แยแสกับระบบวัตถุนิยม
สไตล์รุ่นหลังๆ คือ การสวมเครื่องหมายการค้า ยี่ห้อที่แปะติดบนเสื้อผ้า ระบุว่าผู้สวมรายนั้นเป็นชนเผ่า. RL ชนเผ่า CK หรือ ชนเผ่า DKNY ส่วนสไตล์ชนเผ่าอื่นๆ จะเห็นได้อยู่ในกลุ่มวัฒนธรรมย่อยอันเป็นที่มาของคำว่า แฟชั่นข้างถนน แต่ปรากฏการณ์นี้ก็ไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในกลุ่มวัฒนธรรมย่อย ในหมู่นักเรียนนักศึกษาก็มีปรากฏการณ์เช่นนี้ เมื่อเด็กเข้าสังกัดกลุ่มกันตามที่สวมใส่ในรั้วโรงเรียนและมหาวิทยาลัย
วิธีวิจัยแนวโน้มแฟชั่น
เมื่อใช้คำว่าแนวโมตามแฟชั่นสมัยใหม่ยุคที่สามเช่นนี้ ทำให้สภาพแวดล้อมสำหรับนักวิจัยแฟชั่นเกิดข้อมูลขึ้นหลายกลุ่ม และด้วยเหตุที่การตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคไม่ได้ยึดติดอยู่กับข้อบังคับทางสังคมมากเหมือนเมื่อก่อน จึงทำให้ทำนายพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคได้ยาก ในแฟชั่นสมัยใหม่ยุคที่สาม ไลโปเวตสกี้ [15] ว่ามีตรรกะสามอย่างซ้อนกันอยู่
1. ตรรกะตามสุนทรียศาสตร์
2. ตรรกะตามวิธีการผลิตเสื้อผ้าเชิงอุตสาหกรรม
3. ตรรกะการตัดสินใจตามรสนิยมส่วนตัวของผู้บริโภค
งานวิจัยแนวโน้มแฟชั่นจึงมีข้อหนึ่งที่เป็นการแยกตรรกะทั้งสามนี้ออกจากกัน ในขณะที่โดยส่วนตัวจะชื่นชอบศิลปะตามสุนทรียะที่เห็นอยู่ในคอลเล็คชั่นของนักออกแบบก็ตาม นักวิจัยก็ต้องกระโดดข้ามการแสดงแบบแฟชั่นซึ่งอันที่จริงเป็นหลุมพราง แล้วหาให้ได้ว่าอะไรเป็นเสื้อผ้าที่สวมได้จริง ๆ ซึ่งอยู่ลึกลงกว่าที่เห็น ( บนเวทีการแสดง ) เสื้อผ้าส่วนที่สวมได้จริง มักจะขึ้นอยู่กับตรรกะตามวิธีการผลิตเชิงอุตสาหกรรม ที่ทำให้การผลิต Collection เป็นไปได้ที่จุดที่มีต้นทุนต่ำสุดและสนองตอบความต้องการของผู้บริโภคตามวิถีการใช้ชีวิตจริง ๆ ได้ เสื้อผ้าที่ผู้บริโภครายหนึ่งสวมได้อีกรายหนึ่งอาจสวมไม่ได้ นักวิจัยที่เข้าใจสุนทรียะ การผลิต และการสวมใส่ได้ตามทัศนะของผู้บริโภคจึงจะค้นพบแนวทางการออกแบบที่จะเป็นจริงได้
วิธีวิจัยแนวโน้มแฟชั่นประกอบด้วยสามขั้นตอน ดังนี้
6.1 การหาข้อมูล
ข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มแฟชั่นอาจมาจากหลายแหล่ง ในจำนวนนี้อาจได้แก่
1. การอ่านสิ่งตีพิมพ์ทางการค้า
2. การอ่านนิตยสารแฟชั่นนานาชาติ
3. การใช้บริการสำนักพยากรณ์
4. หลักการช้อปปิ้ง ผลิตภัณฑ์คู่แข่ง
5. การสัมภาษณ์ผู้จัดซื้อและผู้จัดการร้านค้าปลีก
6. การไปชมการแสดงแฟชั่นในยุโรปและอเมริกา
7. การค้นคว้าจากเวบไซต์
ยุโรปมักจะเป็นตัวจุดชนวนแฟชั่นแนวโน้มเสื้อผ้าพร้อมใส่ทั่วโลก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้บริหารและนักออกแบบต้องจับตามองนักออกแบบแฟชั่นชั้นสูงในยุโรป เทปวิดีโอ หรือวิดีโอดิจิทัล ของงานแสดงแฟชั่นสำคัญในยุโรปมีให้บอกรับเป็นสมาชิกจากบริการด้านแฟชั่นกิจกรรมทั้งหลายในขั้นนี้ก็เพื่อสังเกตการณ์และนำเสนอข้อมูลผลที่พบ
6.2 การวิเคราะห์ข้อมูล
จากนั้นผู้บริหารระดับสูงและผู้บริหารรายอื่น ๆ จะนำข้อมูลจากแหล่งดังกล่าวข้างต้นมาร่อนหาแนวความคิดหลักหรือแนวโน้ม ตามกระบวนวิธีที่เรียกว่า การสลายวัตถุธรรมให้เป็นนามธรรม [16] อันเป็นกระบวนการหา ความคล้ายคลึง ( หรือความแตกต่าง ป ต่าง ๆ ในหมู่ผลิตภัณฑ์และแบบในคอลเล็คชั่นที่ได้มาจากแหล่งข้อมูลข้างต้น ด้วยการนำองค์ประกอบแต่ละองค์ประกอบ และความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้นในเสื้อผ้าชุดหนึ่ง ๆ มาเปรียบเทียบกัน และดูความคล้ายคลึงระหว่างชุดเสื้อผ้าอื่น ๆ ความคล้ายคลึงอาจมาจากแนวความคิดหลักที่เป็นภาพหรือเป็นสัญลักษณ์อยู่ในผลิตภัณฑ์ ดังนี้
1. แบบโดยรวม เช่น มินิมัลลิลต์ หรือฟุ่มเฟือย ดูเป็นผู้หญิงหรือดูเป็นผู้ชาย เซ็กซี่หรือสุภาพ
2. โครงเรื่องหลัก หรืออารมณ์ เช่น เศรษฐกิจพอเพียงเพื่ออยู่รอด หรือมั่นคงเหมือนกอธิก
3. ลักษณะการแกว่งตัวทางแฟชั่น เช่น จากขาบานไปหาขาลีบ จากประโยชน์ใช้สอยไปหาความเปล่าประโยชน์
4. สัดส่วนของชิ้นเสื้อผ้า ความยาวชายผ้าหรือความยาวรอยพับกางเกง การวางตำแหน่งราวสะเอว ความกว้างหรือ ความโปร่งเสื้อผ้า
5. โครงร่างเงา ทรงกระบอก ทรงนาฬิกาทราย ทรงลิ่ม ทรงบลูซ็อง
6. จุดเน้น เช่น ไหล่ หน้าอก สะเอว ด้านหลัง ขา
7. ความพอดีตัว เช่น กอดรัดร่าง เว้นวรรคร่าง เน้นความโค้งเว้าร่าง หลวมตัว
8. รายละเอียดเฉพาะส่วน เช่น คอเสื้อ กระเป๋า ปกเสื้อ วิธีจัดแถบรัดสะเอว แขนเสื้อ หรือข้อมือเสื้อ
9. การทำรายละเอียดให้ผิดรูป
10. เครื่องแต่งขอบเฉพาะ เช่น ลูกปัด ผ้าปัก ผ้าปะ ผ้าลูกไม้ หรือสายร้อย
11. เครื่องเย็บปักถักร้อย เฉพาะ เช่น กระดุม ซิป หรือกระดุมกด
12. ประเภทผ้า เช่น ผ้าทอหรือผ้าถัก ผ้าขน ผ้ามันวาวเหมือนโลหะ
13. การแต่งผิวผ้า เช่น การย้อมสีเข้มขึ้นเป็นระดับ ๆ หรือการผ่า
14. ผ้าเฉพาะ เช่น ผ้าโปร่ง ผ้ากำมะหยี่ หรือผ้าเจอร์ซี่
15. คัลเลอร์สตอรี่
I. แนวโน้มนี้อาจนำไปรายงานอยู่ในรูปตามประเภทผลิตภัณฑ์ เช่น ชุดติดกัน หรือสูท หรือพาดข้ามประเภทผลิตภัณฑ์
6.3 การสังเคราะห์ข้อมูล
จากนั้นจึงนำแนวโน้มมาหาคู่ประกบตามเค้าลักษณะผู้บริโภค แต่เค้าลักษณะผู้บริโภคต้องก้าวไปไกลกว่าสถิติประชากร ไปหาลักษณะปลีกย่อยที่แตกต่างกันทางด้านปรัชญาส่วนตัวที่แสดงออกมาเป็นวิถีชีวิต กลุ่มสมาชิก ความนิยมและรสนิยม [17] ท้ายที่สุดจึงรวบรวมองค์ประกอบต่าง ๆ มาผนวกเข้าด้วยกันแล้ววางแนวทางดำเนินการตามหลัก 5P
อย่างไรก็ตาม นักออกแบบต้องเข้าใจว่าผู้บริโภคในตลาดเป้าหมายสวมอะไร และต้องไหวตัวทันกับการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของผู้บริโภค การได้พบปะกับกลุ่มโฟกัส หรือกลุ่มผู้บริโภคเป็นระยะ ๆ เป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่งในการจับการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อ
เพื่อให้ทีมนักออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามแนวโน้มแฟชั่นได้ทัน ทีมงานควรจะประชุมเรื่องแนวโน้มเป็นระยะ ๆ และให้นักออกแบบเป็นผู้เตรียมรายงานแนวโน้ม ส่วนนี้ควรผนึกเข้าไปในแผนงานเพราะการวิจัยเป็นองค์ประกอบสำคัญในกระบวนการพัฒนาสายผลิตภัณฑ์
7. สรุป
1. นักออกแบบต้องตระหนักว่า ผู้บริโภคมีความคาดหวังสูงเมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ และจะมีความว้าวุ่นใจเมื่อพบว่าผลิตภัณฑ์ที่ซื้อมาไม่เป็นไปตามความต้องการ
2. ความต้องการที่นำมาใช้ในการออกแบบ ต้องเป็นของผู้บริโภคไม่ใช่ความต้องการของนักออกแบบ ถ้าต้องการจะให้ผลิตภัณฑ์ประสบผลสำเร็จทางธุรกิจ
3. ผู้บริโภคต้องการผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมือนใคร ต้องการสินค้าเฉพาะตัวมากขึ้นทุกที
4. นี่หมายถึงส่วนตลาดยิ่งเล็กลงทุกที การได้สื่อสารกับผู้บริโภคอยู่เสมอ คือ กุญแจแห่งความสำเร็จของนักออกแบบรุ่นใหม่